แน่นอนว่าธุรกิจออนไลน์คงจะคุ้นเคยกับคำว่า SKU กันอยู่แล้ว โดยเฉพาะธุรกิจที่ขายของออนไลน์กันมายาวนานพอสมควร แต่ถ้าคุณเป็นมือใหม่และกำลังจะก้าวเข้าสู่วงการขายของออนไลน์ล่ะก็ บอกเลยว่าต้องทำความรู้จักไว้เลย ว่าแต่ว่าเจ้า SKU ที่ว่านี้คืออะไร มีประโยชน์กับร้านค้าอย่างไร และต้องใช้ยังไงถึงจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย !
SKU คืออะไร ?
SKU ย่อมาจาก Stock Keeping Unit คือ หน่วยจำแนกสินค้าที่เล็กที่สุดในระบบคลังสินค้าที่ช่วยแยกความแตกต่างของสินค้าเพื่อให้การติดตามสินค้าคงคลังหรือสต๊อกสินค้าง่ายขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประเภทเดียวกันที่มีความใกล้เคียงกัน เช่น หากคุณขายแก้วกาแฟหลายขนาด หลายลวดลาย หรือหลากสี คุณจะต้องกำหนดรหัสและระบุ SKU ให้กับแต่ละสินค้าเพื่อให้ติดตามสินค้าได้อย่างละเอียดและไม่มีตกหล่น
ถ้าจะพูดง่าย ๆ ก็คือ สินค้าทุกชิ้นต้องมีหมายเลข SKU เป็นของตัวเอง โดยเจ้าของร้านสามารถกำหนดได้ด้วยตัวเองเพื่อระบุสินค้าและติดตามสินค้าในคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนั้นคุณจึงควรตั้ง SKU ที่สื่อความหมาย และเข้าใจง่ายที่สุดสำหรับตัวคุณเอง เพราะถ้าหากขนาดเจ้าของร้านตั้ง SKU เองแล้วงงเอง พนักงานคนอื่น ๆ ก็คงจะทำงานยากไม่น้อย
วิธีการนับ SKU นับอย่างไร ?
SKU เป็นการสร้างรหัสสินค้าที่กำหนดขึ้นเองโดยเจ้าของร้านและ 1 สินค้าสามารถมีหลาย SKU โดยเฉพาะสินค้าที่มีหลายสีและขนาด ซึ่งคุณสามารถกำหนดเพื่อให้เข้าใจง่ายที่สุด โดยสามารถตั้งรหัส SKU ได้ตามหลักการดังต่อไปนี้
- ชื่อสินค้า
- สี
- ขนาด
- น้ำหนัก
- ความกว้าง
- ความยาว
- รสชาติ
- ยี่ห้อ
- รุ่น
- ฯลฯ
สำหรับการนับ SKU และสต๊อกสินค้านั้นสามารถทำได้ทั้งแบบนับเองแบบแมนวล และสามารถใช้ตัวช่วยอย่างฟีเจอร์ SKU และฟีเจอร์สต๊อกสินค้าเพื่อให้การติดตามสินค้าแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันธุริจที่มีหน้าร้านค้าออนไลน์หันมาใช้ระบบเป็นตัวช่วยกันหมดแล้ว เพราะตัวระบบมีความแม่นยำสูง ละเอียด และสามารถประหยัดเวลาในการนับสต๊อกสินค้าในคลังได้เป็นอย่างดี
หลักในการสร้าง SKU สินค้ามีอะไรบ้าง ?
หากยังไม่แน่ใจว่าตั้งรหัสสินค้ายังไงดี เรามาเจาะลึกเกี่ยวกับการตั้งรหัส SKU สินค้าแบบเข้าใจง่ายในส่วนนี้ ซึ่งจะช่วยให้คุณแยกแยะความแตกต่างของสินค้าได้เป็นอย่างดี และวิธีที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์นิยมใช้กันก็คือ สินค้า ขนาด และ สี
โดยสำหรับสินค้า ขนาด และสีที่ว่านี้ สามารถใช้เป็นอักษรย่อหรือรหัสสำหรับ SKU นั้น ๆ เลยก็ได้ ตัวอย่างเช่น บางแบรนด์เสื้อผ้าจะใช้สูตร สินค้า-ขนาด-สี-ลาย หากเป็นเสื้อโปโล ไซส์ M สีน้ำเงิน ลายขาว ก็จะเขียน SKU ได้เป็น polo-medium-blue-white-pattern หรืออาจจะใช้ตัวย่อและรหัสสำหรับสินค้านั้น ๆ เลยก็ได้เช่นกัน
ตัวอย่าง หากต้องการใช้ตัวย่อและรหัสสำหรับสินค้าเสื้อโปโล ไซส์ M สีน้ำเงิน ลายขาว ก็สามารถกำหนดขึ้นมาได้เลย เช่น PSB-001 และ PSB-BLU-M-001 เป็นต้น โดยสามารถใช้ตัวเลขแทนลวดลายเสื้อผ้าหรืออื่น ๆ ได้เลย เพราะเจ้าของร้านสามารถตั้ง SKU ได้ตามใจชอบ ขอแค่ให้เข้าใจง่ายและใช้ง่ายก็พอ
SKU มีประโยชน์อย่างไรบ้าง ?
SKU คือ เครื่องมือสำคัญทั้งสำหรับผู้ผลิตเองและพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ เพราะ SKU สามารถใช้ติดตามได้ทั้งสินค้าคงคลังที่เป็นวัตถุดิบ (Raw Material Inventory), สินค้าคงคลังระหว่างการผลิต (Work-in-Process (WIP) Inventory), สินค้าสำเร็จรูปคงเหลือ (Finished Goods Inventory) และสินค้าที่ใช้ในการบำรุงรักษาซ่อมแซม (Maintenance Repair Operation (MRO) Inventory) ซึ่งหากจะพูดให้เข้าใจง่ายในแง่ของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ SKU ก็มีประโยชน์ดังนี้
1. การจัดการคลังสินค้า
SKU ช่วยให้จัดประเภทสินค้า จัดสรรสินค้า และติดตามสต๊อกสินค้าได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะนับมือ ใช้โปรแกรมนับสต๊อก Excel หรือใช้ระบบสต๊อกสินค้า ก็จะช่วยให้การนับสต๊อกง่ายขึ้นหลายเท่าตัว หากไม่มี SKU การจัดการคลังสินค้าก็จะยุ่งยากและปวดหัวมากกว่าเดิม คุณจะไม่มีตัวเลขสต๊อกสินค้าที่แม่นยำในมือ ทำได้เพียงแค่เดาหรือคาดคะเนปริมาณสต๊อกสินค้าเท่านั้น
เมื่อมีการสร้างรหัส SKU ในการผลิตสินค้า และขายออนไลน์แล้ว คุณจะมีข้อมูลช่วยตัดสินใจในการสั่งซื้อสินค้าและสั่งผลิตสินค้าได้อย่างแม่นยำขึ้น ทั้งยังสามารถดูข้อมูลยอดขายของสินค้าแต่ละ SKU ได้ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าจะช่วยประหยัดเงินและเวลาได้เป็นอย่างดี ช่วยให้คุณไม่ต้องเสียเวลาคำนวณเองและรู้ว่าต้องลงทุนกับสินค้าไหน
2. แนะนำสินค้า
การใช้ และการกำหนดหมายเลข SKU จะช่วยให้หน้าร้านออนไลน์ของคุณดูดี และสามารถแนะนำสินค้าที่ตรงใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เพราะตัวระบบสามารถวิเคราะห์ได้จากพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าได้ โดยเฉพาะระบบสต๊อกสินค้าที่เชื่อมต่อกับร้านอีคอมเมิร์ซโดยตรง ส่วนใหญ่ระบบจะสามารถระบุสินค้าขายดีหรือสินค้าที่ใกล้เคียงกับสินค้าที่ลูกค้าชื่นชอบได้ สามารถใช้เป็นกลยุทธ์เพิ่มยอดขายให้กับร้านได้
3. วิเคราะห์ข้อมูล
อย่างที่ได้เกริ่นไป SKU สินค้าจะช่วยให้คุณวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและวางแผนในขั้นตอนต่อไปได้ง่ายขึ้น เพราะเมื่อคุณใส่ข้อมูล SKU ในระบบสต๊อกสินค้าแล้ว ทุกครั้งที่ขายสินค้าไป ระบบก็จะนับ-ตัดสต๊อกสินค้าโดยอัตโนมัติ โดยข้อมูลหลัก ๆ ที่คุณจะได้และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการขายของออนไลน์ก็คือ
- สินค้าขายดี เมื่อใส่ข้อมูลสินค้าพร้อม SKU ระบบจะบันทึกข้อมูลโดยอัตโนมัติและคุณสามารถเรียกดูได้เลยว่าขายสินค้าชิ้นไหนหรือประเภทไหนได้ดีที่สุด ทำให้คุณวางแผนค่าใช้จ่ายในการผลิตสินค้าครั้งถัดไปได้ง่ายขึ้นและลดปัญหาเงินทุนจมกับสินค้าค้างสต๊อกหรือสินค้าที่มีความเคลื่อนไหวช้า ขายออกยาก
-
- สินค้าขายไม่ดี แน่นอนว่านอกจากสินค้าขายดีแล้ว คุณยังสามารถดูสินค้าที่ต้องปรับปรุงและเพิ่มยอดขายได้ด้วย สำหรับสินค้าที่ขายไม่ดี สามารถจัดโปรโมชั่นกับสินค้าขายดี หรือสินค้าประเภทเดียวกันเพื่อกระตุ้นยอดขายได้เลย จะลดตามเทศกาล ลดประจำเดือน หรือจัดโปรช่วงไหนก็เพิ่มยอดขายร้านค้าออนไลน์ของคุณได้แน่นอน
นอกจากนี้การใส่ข้อมูล SKU สินค้าในระบบยังช่วยให้คุณรู้ข้อมูลสต๊อกสินค้าแบบทันทีหรือเรียลไทม์ ช่วยป้องกันของไม่พอขายหรือสินค้าขาดตลาดได้ ลองคิดดูว่าถ้าคุณเป็นลูกค้าและต้องการซื้อสินค้าหนึ่งมาก ๆ แต่พอเข้าไปดูในเว็บไซต์สินค้าดันหมด คุณก็คงจะผิดหวังและหาซื้อสินค้าเดียวกันจากร้านอื่น ๆ แทนใช่ไหมล่ะ และแน่นอนว่าคุณคงไม่อยากเสียโอกาสในการขายไปแบบนั้น
SKU กับ Barcode ต่างกันอย่างไร?
SKU (Stock Keeping Unit) คือ รหัสสินค้าที่เล็กที่สุดที่เจ้าของร้านหรือทางร้านสามารถกำหนดขึ้นเองได้ โดยใช้จำแนกสินค้าแต่ละสินค้าและสามารถมีได้หลายm SKU สำหรับ 1 สินค้า ในขณะเดียวกัน บาร์โค้ด หรือ UPC (Universal Product Code) คือ เลขประจำตัวสินค้าหรือรหัสสินค้ามาตรฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลก ส่วนใหญ่จะใช้เป็นตัวเลข 12 หลักและใช้เฉพาะตัวเลขเท่านั้น ช่วยให้ผู้ผลิต ผู้ขาย และผู้ซื้อดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วยรหัสบาร์โค้ดที่ปรากฏอยู่บนตัวสินค้า เพียงแค่สแกนสินค้าก็จะทำให้เกิดการซื้อขายเร็วขึ้น ไม่ต้องเสียเวลากรอกข้อมูลสินค้าแบบแมนวล
สรุป
ถ้าจะพูดง่าย ๆ ก็คือ SKU (Stock Keeping Unit) หมายถึง รหัสหรือหน่วยจำแนกสินค้าที่เล็กที่สุดในระบบคลังสินค้าที่ทางร้านสามารถกำหนดขึ้นมาเองได้ และมีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับคนค้าขายโดยเฉพาะการขายของออนไลน์ เพราะเมื่อคุณใส่ข้อมูล SKU สินค้าในระบบสต๊อกสินค้าแล้ว คุณจะสามารถติดตามและบริหารจัดการสต๊อกสินค้าได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่ข้อมูลสินค้าขายดี แต่คุณยังสามารถดูข้อมูลสินค้าที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมและนำไปจัดโปรเพิ่มยอดขายได้ ทั้งยังช่วยให้มีข้อมูลสินค้าพร้อมสต๊อกของได้ทันขาย ไม่พลาดโอกาสทำเงินแม้แต่วินาทีเดียว และในส่วนของความต่างกันระหว่าง SKU กับบาร์โค้ดนั้น ก็คือรหัสสินค้าที่ตั้งขึ้นมาเองและรหัสสินค้าสากลที่ใช้กันทั่วโลก แต่ถ้าต้องการนับ SKU หรือติดตามสต๊อกสินค้าคงคลังได้อย่างแม่นยำและพร้อมขายทุกเมื่อก็ต้องมีระบบสต๊อกสินค้าหรือระบบ SKU เป็นตัวช่วย ซึ่งปัจจุบันมีหลายแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ช่วยให้ขายออนไลน์และมาพร้อมฟีเจอร์ทรงประสิทธิภาพที่ว่านี้
สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ ทดลองใช้ระบบรวมแชทบน Zaapi ฟรี 7 วัน
{{cta-button="/cms-injection-content"}}
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับ Zaapi
หากมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งานฟีเจอร์ สามารถติดต่อเราได้ผ่านช่องทาง
- LINE OA: @zaapi
- Facebook Page: Zaapi Thailand
- Tel: 096-927-1729
Chat, Sell, Scale - The All-in-One Conversation and Commerce Hub