เป็นมือใหม่แต่ก็อยากขายออนไลน์ให้ปังใช่ไหมล่ะ? บอกเลยว่าเราเข้าใจดี เพราะสมัยนี้จะขายของทั้งที ก็ต้องมีขายออนไลน์ควบคู่กันไปถึงจะไปได้สวย นั่นก็เพราะว่าการขายของออนไลน์สามารถเพิ่มโอกาสในการขายและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ได้กว้างขึ้น และหากคุณเป็นมือใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นขายของออนไลน์ นี่คือ 12 วิธีขายของออนไลน์มือใหม่ที่ครอบคลุมที่สุดที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นได้อย่างมั่นใจ
1. สำรวจตลาดออนไลน์
ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกสินค้าที่จะขายออนไลน์ คุณควรทำการสำรวจตลาดออนไลน์ก่อน เพื่อดูว่าสินค้าไหนกำลังเป็นที่นิยมและมีความต้องการสูงในแต่ละช่องทาง โดยสามารถสำรวจได้หลายช่องทาง เช่น Google Trends หรือดูข้อมูลจาก Social Media เช่น เฟสบุ๊ค อินสตาแกรม และ TikTok แนะนำให้ดูเทรนด์และแฮชแท็กในแพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อดูว่าสินค้าออนไลน์ประเภทไหนที่น่าสนใจและกำลังมาแรง จากนั้นคุณก็จะมีไอเดียในการเริ่มต้นขายของออนไลน์มากขึ้น
2. วิเคราะห์คู่แข่ง
สิ่งที่มือใหม่ขายของออนไลน์จะต้องให้ความสำคัญเลยก็คือการวิเคราะห์คู่แข่ง เพราะคุณสามารถเรียนรู้วิธีการขาย การตั้งราคา และกลยุทธ์การตลาดของคู่แข่งเพื่อปรับใช้ในธุรกิจได้อย่างสบายๆ เช่น
- คู่แข่งขายในช่องทางไหนบ้าง
- คู่แข่งตั้งราคาต่ำเพื่อแข่งขัน ตั้งราคาสูงเพื่อเน้นคุณภาพ หรือตั้งราคาแบบโปรโมชั่น
- มีการให้บริการของพนักงานเป็นยังไงบ้าง
- มีการรับประกันสินค้าหรือนโยบายการคืนเงินเป็นอย่างไร
- ตอบแชทลูกค้าเร็วแค่ไหน
- มีการลดราคา โปรโมชั่น หรือส่วนลดแบบไหนบ้าง
- ใช้กลยุทธ์การตลาดอะไรบ้าง?
- ฯลฯ
3. เลือกว่าขายของออนไลน์ขายอะไร
หลังจากสำรวจตลาดและวิเคราะห์คู่แข่งแล้ว ถ้ายังไม่รู้ว่าขายของออนไลน์อะไรดีที่สุด อันดับแรกเลยคุณจำเป็นต้องเลือกสินค้าที่คุณสนใจ อาจจะเป็นเครื่องสำอาง, เสื้อผ้า, ของใช้ในบ้าน ฯลฯ เพื่อจะได้มีความกระตือรือร้นในการทำความเข้าใจสินค้าและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอยู่ตลอดเวลา และความชอบความสนใจนี่แหละที่จะเป็นแรงผลักดันให้มือใหม่ขายของออนไลน์เช่นคุณไม่ยอมแพ้เมื่อเจอปัญหา
หรือหากไม่แน่ใจว่าอยากขายหรือสนใจสินค้าแนวไหน ก็อาจเลือกศึกษาสินค้าที่มีแนวโน้มเป็นที่นิยมตลอดกาล เช่น สินค้าเพื่อสุขภาพอย่างอาหารเสริมและอุปกรณ์ออกกำลังกาย เป็นต้น หรือเป็นสินค้าเฉพาะกลุ่มไปเลยก็ได้ เช่น อุปกรณ์สำหรับเล่นเกมและสินค้าแฮนด์เมด เมื่อเจอสินค้าที่สนใจแล้วก็เริ่มทำความเข้าใจเพื่อนำมาขายได้เลย!
4. เลือกช่องทางในการขาย
ต้องบอกว่าปัจจุบันมีช่องทางในการขายออนไลน์เยอะมาก และมือใหม่หลายคนก็อาจจะกำลังลังเลอยู่ว่าแล้วจะขายออนไลน์ที่ไหนดี ซึ่งก็ต้องบอกว่าแต่ละช่องทางมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป เช่น
- Shopee: เหมาะสำหรับผู้ต้องการขายของออนไลน์ มีฐานผู้ใช้งานเยอะ มีการใช้งานและการตั้งค่าร้านง่าย ทั้งยังมีศูนย์เรียนรู้ผู้ขาย Shopee เพื่อให้คุณได้หมั่นเติมความรู้และสร้างยอดขายได้แบบปังๆ
- Lazada: แพลตฟอร์มใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีฟีเจอร์หลากหลายในการขาย และมีความคล้ายกับ Shopee แต่ศูนย์เรียนรู้สำหรับผู้ขายของ Lazada จะเรียกว่า Lazada University
- Facebook Marketplace: เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้ Facebook ง่ายต่อการเริ่มต้นขายของออนไลน์และไม่มีค่าธรรมเนียมเริ่มต้น
- · Instagram: เหมาะสำหรับการขายสินค้าที่มีภาพลักษณ์สวยงาม เช่น เสื้อผ้า, เครื่องประดับ, และสินค้าแฟชั่น
- TikTok: เหมาะสำหรับเทคนิคการขายที่เน้นคอนเทนต์และการขายไปพร้อมๆ กัน
- LINE: เน้นขายผ่านช่องทางแชท สามารถนำเสนอสินค้า โปรโมชั่น และอื่นๆ ได้ในช่องทางเดียว
- เว็บไซต์: เหมาะกับการสร้างเว็บไซต์ร้านค้าของคุณเองด้วยแพลตฟอร์มที่คุณชื่นชอบและสะดวกสบายต่อการใช้งานสำหรับคุณ
5. ตั้งค่าร้าน
เลือกช่องทางการขายออนไลน์เรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็เริ่มตั้งค่าร้านตามแต่ละแพลตฟอร์มได้เลย โดยสามารถทำตามได้ดังนี้ :
- สร้างบัญชีผู้ใช้: ลงทะเบียนและสร้างบัญชีในแพลตฟอร์มออนไลน์และอีคอมเมิร์ซที่คุณเลือก
- ตั้งค่าร้านค้า: กรอกข้อมูลร้านค้า, อัปโหลดโลโก้, และตั้งค่าการชำระเงิน
- เพิ่มสินค้า: เพิ่มสินค้าพร้อมรายละเอียด, รูปภาพ, และราคาขาย
6. ตั้งค่าการชำระเงินและการจัดส่ง
เลือกวิธีการชำระเงินที่สะดวกสำหรับลูกค้า เช่น การโอนเงินผ่านธนาคาร, การชำระผ่านบัตรเครดิต, การชำระเงินผ่านบัตรเดบิต หรือบริการชำระเงินออนไลน์ เช่น PayPal, Line Pay เป็นต้น
จากนั้นก็ตั้งค่าการจัดส่งสินค้าโดยเลือกผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ เช่น ไปรษณีย์ไทย, Kerry Express, J&T Express, Flash Express ฯลฯ สามารถพาร์ทเนอร์กับบริษัทขนส่งได้มากกว่าหนึ่งบริษัทเมื่อร้านค้าออนไลน์ของคุณขยายใหญ่ขึ้นและมียอดออเดอร์จำนวนมากเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าได้อีกเช่นกัน
7. ใช้ Social Media เพื่อทำการตลาด
กลยุทธ์การตลาดออนไลน์แรกที่หลายคนนึกถึงก็คงจะเป็นช่องทางยอดนิยมอย่าง Social Media ซึ่งเราจะเรียกสิ่งนี้ว่า Social Media Marketing เริ่มต้นใช้ Social Media ในการโปรโมทร้านค้าออนไลน์และสินค้าของคุณ เช่น
- Facebook: สร้างเพจร้านค้า, ลงโฆษณา, และใช้ Facebook Groups ในการโปรโมท
- Instagram: ใช้ภาพสวยๆ และเรื่องราวในการโปรโมทสินค้า และใช้ Instagram Ads
- TikTok: ใช้วิดีโอสั้นๆ ในการแนะนำสินค้าและลงโฆษณา
8. ทำ SEO
SEO (Search Engine Optimization) คือตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์หรือหน้าร้านค้าออนไลน์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาของ Google เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ แบบไม่ต้องเสียเงิน โดยคุณสามารถใช้เทคนิคเหล่านี้เพื่อนำลูกค้ามาที่หน้าเว็บไซต์และเพิ่มยอดขายได้แบบบไม่ต้องยิงแอดหรือลงโฆษณา
- การใช้คำหลัก (Keywords): เลือกคำหลักที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณและใช้ในชื่อสินค้า คำอธิบาย และบทความ
- การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ: เขียนบทความ รีวิวสินค้า และเคล็ดลับที่เป็นประโยชน์แก่ลูกค้า
- การสร้างลิงก์ (Backlinks): สร้างลิงก์จากเว็บไซต์อื่นๆ ที่มีความเกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
9. โฆษณาออนไลน์
หากต้องการเพิ่มการเข้าชมร้านค้าและเพิ่มยอดขายออนไลน์จากลูกค้ากลุ่มใหม่หรือลูกค้ากลุ่มเป้าหมายก็ต้องใช้งบประมาณเพื่อทำการโฆณษาออนไลน์กันหน่อย ซึ่งสามารถยิงแอดได้ตามแพลตฟอร์มและช่องทางที่คุณขายออนไลน์ได้เลย เช่น
- Google Ads: ลงโฆษณาใน Google เพื่อให้ร้านค้าของคุณปรากฏในหน้าผลการค้นหา
- Facebook Ads: ลงโฆษณาใน Facebook เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ
- Instagram Ads: ลงโฆษณาใน Instagram เพื่อโปรโมทสินค้าง่ายๆ ด้วยภาพและวิดีโอ
10. บริการลูกค้าให้ดีที่สุด
แม้จะเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่ แต่ก็ต้องมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าเพื่อให้ลูกค้าประทับใจและซื้อของออนไลน์จากร้านของคุณ โดยเริ่มตั้งแต่ตอบแชท ตอบคำถาม และให้คำแนะนำที่รวดเร็วและเป็นประโยชน์แก่ลูกค้า รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากลูกค้าเพื่อนำไปปรับปรุงสินค้าและบริการ และหากลูกค้าร้องเรียน ก็ควรจัดการอย่างมืออาชีพและรวดเร็ว เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
11. จัดการสต๊อกสินค้าให้มีประสิทธิภาพ
คุณควรเลือกใช้ระบบการจัดการสต๊อกสินค้าเพื่อควบคุมจำนวนสินค้าและป้องกันการขาดแคลนสินค้า ไม่ให้พลาดแม้การขายเดียว แล้วก็จะต้องหมั่นตรวจสอบสต๊อกสินค้าอย่างสม่ำเสมอและปรับปรุงเพื่อให้มีสินค้าพร้อมส่งเสมอ ลองเลือกใช้ระบบที่มีฟีเจอร์การจัดการสต๊อกแจ้งจำนวนสินค้าสต๊อกแบบเรียลไทม์เพื่อให้คุณตั้งสถานะการขายได้ทันที
นอกจากนี้ถ้าคุณสามารถจัดการสต๊อกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว คุณก็จะมีข้อมูลการขายและการเคลื่อนไหวของสินค้ามาวิเคราะห์ เพื่อช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดสรรสต๊อกในอนาคต เช่น การระบุสินค้าที่ขายดีหรือสินค้าที่ควรเลิกขาย เป็นต้น
12. วัดผลและปรับปรุงอยู่เสมอ
อย่าลืมเช็คข้อมูลเชิงลึกของแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น Google Analytics (สำหรับเว็บไซต์), Facebook Insights, TikTok Insights ฯลฯ ที่คุณขายของออนไลน์เพื่อนำมาวิเคราะห์ วัดผลการขาย และปรับปรุงกลยุทธ์เป็นลำดับถัดไป เพื่อให้คุณได้มีเทคนิคการขายและการตลาดใหม่ๆ และสามารถเพิ่มยอดขายพร้อมกับขยายฐานลูกค้าธุรกิจออนไลน์ได้ต่อไปในอนาคต เมื่อมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพแล้ว ร้านออนไลน์ของคุณจะมีทั้งลูกค้าขาประจำและลูกค้าใหม่แวะเวียนมาอุดหนุนอย่างไม่ขาดสาย แล้วยอดขายออนไลน์ก็จะปังแน่นอน!
พร้อมลุยวงการขายออนไลน์หรือยัง?
การขายของออนไลน์เป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้เริ่มต้นในการสร้างรายได้และสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ โดยการเลือกสินค้าที่เหมาะสม, ตั้งค่าร้านค้าออนไลน์, ทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ, และให้บริการลูกค้าที่ดี คุณจะสามารถเพิ่มยอดขายและสร้างฐานลูกค้าที่มั่นคงได้ นอกจากนี้ การวัดผลและปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณมีฐานลูกค้าที่มั่นคงและสามารถขยับขยายพร้อมเติบโตได้อย่างยั่งยืน
พิเศษ! มือใหม่ก็ดูเก๋าเกมราวกับมืออาชีพได้ด้วย Zaapi แพลตฟอร์มเดียวในไทยที่รวมแชททุกช่องทางการขายบน Social Media และ E-Commerce อย่างเฟสบุ๊ค, ไอจี, LINE, TikTok Shop, Lazada และ Shopee มาไว้ในที่เดียว ทั้งยังมีฟีเจอร์ต่างๆ ที่พร้อมช่วยให้มือใหม่เช่นคุณขายออนไลน์ได้คล่องอย่างมืออาชีพ!
สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ ทดลองใช้ระบบรวมแชทบน Zaapi ฟรี 7 วัน คลิกเลย
{{cta-button="/cms-injection-content"}}
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับ Zaapi
หากมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งานฟีเจอร์ สามารถติดต่อเราได้ผ่านช่องทาง
· LINE OA: @zaapi
· Facebook Page: Zaapi Thailand
· Tel: 096-927-1729
Chat, Sell, Scale - The All-in-One Conversation and Commerce Hub